เวียดนาม เป็นอีกหนึ่งประเทศที่นักเดินทางบ้านเรานิยมไปกันมากพอสมควร แทบเรียกได้ว่าเป็นประเทศยอดฮิตกันเลยทีเดียว อาจจะเป็นเพราะว่าเวียดนามไม่ไกลจากบ้านเรามาก ค่าใช้จ่ายไม่แพง วัฒนธรรมของคนไทยและเวียดนามเองไม่ได้แตกต่างกันมากมาย ทำให้นักเดินทางในบ้านเราชอบมาเที่ยวเวียดนาม และเราก็คือหนึ่งในนั้น
โฮจิมินห์ ซิตี้ ประเทศเวียดนาม
เมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและประวัติศาสตร์
ที่รอให้คุณไปค้นหา “โฮจิมินห์” หรือชื่อเดิม ไซ่ง่อน เมืองที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนามและยังเคยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามใต้ เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย เช่น สถานที่ต่างๆที่สำคัญในสมัยสงครามเวียดนาม
ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมกัน
การเดินทางของเราทริปนี้เดินทางด้วยสายการบิน Vietjet Air มีเที่ยวบินจากสนามบินสุวรรณภูมิ-โฮจิมินห์ ทุกวัน ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 20 นาที ก็ถึงโฮจิมินห์แล้ว ส่วนเวลาที่โฮจิมินห์ เท่ากับที่กรุงเทพฯ บ้านเรา ก็โชคดีไปที่ไม่ต้องเปลี่ยนนาฬิกา
สายการบิน Vietjet Air เป็นสายการบินแห่งแรกในเวียดนามที่เสนอแนวคิดราคาประหยัดสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองบาดิญ ฮานอย ประเทศเวียดนาม Vietjet Air แบ่งชั้นที่นั่งโดยสารเป็น 3 ประเภท ได้แก่
-Promo Class (ชั้นโปรโม)
-Eco Class (ชั้นประหยัด)
-SkyBoss Class (ชั้นสกายบอส)
สำหรับสายการบิน Vietjet Air
สามารถเข้าไปจองตั๋วผ่านทางเวปไซด์ได้ที่ >>www.vietjetair.com
หรือติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โทร. 02-089-1909
เรามาถึงสนามบินโฮจิมินห์บ่ายโมง ต้องต่อรถเมล์เข้าไปในเมืองเพื่อไปโรงแรมที่พัก ใช้เวลาจากสนามบินมาถึงโรงแรม Sofitel Saigon Plaza ที่เราจะเข้าพักประมาณ 30 นาที
โรงแรม Sofitel Saigon Plaza เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโฮจิมินห์
และยังใกล้กับแลนด์มาร์คที่เราจะเดินเที่ยวอีกด้วย เราได้รับการต้องรับอย่างดี พนักงานน่ารักกันทุกๆคน
ห้องนอนที่พัก ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม เราเข้าเช็คอินและจะนอนที่นี่กันตลอด 2 คืน ที่เรามาเที่ยว
โรงแรม Sofitel Saigon Plaza นอกจากเป็นโรงแรมที่มีห้องพักที่สวยงาม กว้างขวางแล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน เช่น สระว่ายน้ำที่อยู่บนดาดฟ้า, ฟิตเนต ห้องซาวน่า, ห้องนวด และอื่นๆอีกมากมายพร้อมที่จะต้อนรับทุกท่านที่เข้าพักที่นี่
สำหรับวันนี้เราเช็คอินที่โรงแรมเสร็จ ต่อไปเราก็จะออกเดินไปหาซื้อทัวร์แบบ 1 Day trip เพื่อวันพรุ่งนี้กัน เราได้ทริปที่ซื้อแบบเป็นทัวร์มา 2 ทริป เป็นทริปล่องเรือแม่น้ำไซ่ง่อน พร้อมกับรับประทานอาหารบนเรือ เย็นนี้ ค่าทริปคนละ 7 แสนด่ง (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,000 บาท) ส่วนอีกทริปเป็นทริปสำหรับวันที่ 2 แบบ 1 Day trip คือทริปไปเที่ยวเกาะลิง (Monkey island) เดินทางด้วยรถตู้และมีไกด์พาไป
สำหรับแพลนทริปเราคร่าวๆ
แต่สำหรับคืนนี้ต้องไปล่องเรือก่อน 18.00 น. จะมีไกด์มารับที่โรงแรมและพาเราไปขึ้นเรือที่ท่าเรือ
การล่องเรือก็จะใช้เวลาจาก 18.30-21.30 น.
อาหารจะเป็นเซ็ทอยู่แล้ว รวมอยู่ในค่าทัวร์แล้ว ส่วนน้ำจะต้องจ่ายเพิ่ม ระมัดระวังตรงจุดนี้ด้วยละกัน
ส่วนวิวสองฝั่งแม่น้ำไซ่ง่อนก็สวยงาม ไม่แพ้การล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยาในบ้านเราเลยละ
เรือจะล่องไปกลับและมาส่งเราที่เดิม ระหว่างที่เรารับประทานอาหารบนเรือ และเรือกำลังล่องอยู่ ก็จะมีการแสดงพื้นเมืองให้ชมกันด้วย อยากบอกว่าสาวเวียดนาม สวยสุดๆเลยนะ
ล่องเรือเสร็จ เรือก็วนกลับมาจอดที่เดิม หมดเวลาของดินเนอร์บนเรือของเราแล้วได้เวลากลับโรงแรมไปพักผ่อน เก็บแรงไว้ลุยต่อพรุ่งนี้เช้า โรงแรมกับท่าเรือไม่ไกลกันมาก ประมาณ 2 กม. เราเดินกลับโรงแรม ชมวิวไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงที่พักแล้ว
คืนนี้ราตรีสวัสดิ์
วันที่ 2
เช้านี้เรามีนัดกับไกด์ที่จะมารับเรา 7.30 น. เพื่อไปเกาะลิง เดินทางด้วยรถตู้ จากตัวเมืองไปเกาะลิงประมาณ 75 กม. ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ก่อนที่เราจะเดินทางไปเกาะลิง เราก็มาเติมพลังงานกันก่อนที่ด้านล่างของโรงแรม มีบริการอาหารแบบบุฟเฟต์สำหรับแขกที่เข้าพักโรงแรม มีอาหารให้เลือกทานแบบไม่อั้นและหลากหลายเมนูมากๆ
ทานอาหารเช้าเสร็จ ก็รอไกด์มารับเพื่อไปที่เกาะลิง จากที่นั่งรถตู้กันมา มาถึงท่าเรือเราต้องเอารถตู้ขึ้นแพเพื่อข้ามไปเกาะ แล้วต้องนั่งรถตู้เพื่อไปหมู่บ้านลิงประมาณ 45 นาที
ถึงแล้ว เกาะลิง ที่นี่มีลิงอาศัยอยู่เป็นร้อยๆตัว จริงๆแล้วไฮไลท์ของที่นี่ไม่ใช่แค่ลิง แต่ด้านในป่าชายเลน มีค่ายทหารเก่า สมัยสงครามเวียดนาม เป็นที่ซุ่มโจมตีทหารอเมริกา และเป็นที่รับเสบียงทางเรือ เพราะอยู่ใกล้ทะเลมาก ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม แต่ต้องนั่งเรือเข้าไปประมาณ 10 นาที
บริเวณค่ายทหารเก่าก็จะจำลองอดีตให้เราได้ชมกัน จะมีรูปปั้นของทหารเวียดนาม กำลังทำกิจกรรมต่างๆ เช่น วางแผนการรบ ประชุม ซุ่มโจมตี ทำอาหาร ฯลฯ
หลังจากเราเที่ยวเมืองลิงและค่ายทหารเก่าเสร็จ ไกด์ชาวเวียดนามก็พาเรามาแวะหาอะไรกินที่ตลาดอาหารทะเล
แล้วต่อด้วยรับประทานอาหารกลางวันที่รีสอร์ทริมทะเล ค่าใช้จ่ายรวมอยู่ในค่าทริปแล้ว
แล้วไกด์ก็พาเรากลับมาส่งที่โรงแรม ถึงโรงแรมประมาณ 17.00 น. เราก็ขึ้นไปชมวิวที่บริเวณสระว่ายน้ำของโรงแรมต่อ และนั่งรอแสงเย็นจากบนดาดฟ้า จากมุมนี้แล้วเราจะมองเห็นแสงไฟยามค่ำคืนของเมืองโฮจิมินห์ สวยงามจริงๆครับ นอกจากเราแล้ว ก็มีแขกที่มาพักโรงแรมคนอื่นๆมาว่ายน้ำ กับบรรยากาศเย็นๆ แสงแดดอ่อนๆ มันฟินมากๆ
หลังจากนั่งชมวิว เสร็จเราก็กลับห้องและลงไปห้องอบซาวน่าต่อ การที่เราเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้วได้ซาวน่า จากบริการฟรีของโรงแรมแล้วมาแชร์น้ำเย็นๆในอ่าง เป็นอะไรที่ฟินสุดๆเลยหละครับ สำหรับการเที่ยววันนี้คงจะมีเพียงเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์
เช้าวันที่ 3
แพลนของเราวันนี้จะเป็นการเดินเที่ยวเก็บแลนด์มาร์คในเมืองโฮจิมินห์ ซึ่งเราก็บอกไปแล้วว่าไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพักเลย เดินยังไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้ว แต่ก่อนอื่นก็ต้องเติมพลังกันก่อน เหมือนเดิม อาหารที่ทางโรงแรมมีไว้บริการฟรีเช่นเคย
เราเติมพลังกันเสร็จ ก็เริ่มออกเดินเพื่อเก็บแลนด์มาร์คกัน
จุดแรกที่เราจะไปคือ
ไปรษณีย์กลาง (Post office center) ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ตรงข้ามกับโบสถ์นอร์ทเธอดาม สร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2439 เสร็จในปี พ.ศ. 2444 มีการออกแบบและก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศส เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียตนาม ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมกัน ด้านในมีร้านของฝากขายหลายร้าน
จุดที่ 2
โบสถ์นอร์ทเธอดาม (Notre Dame Cathedral) ตั้งอยู่บริเวณกลางเมือง บนถนน Han Thuyen ก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2420 ใช้ระยะเวลาการสร้าง 6 ปี โบสถ์นี้ไม่มีการประดับด้วยกระจกสีเหมือนโบสถ์คริสต์ที่อื่น เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โบสถ์แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเวียตนาม ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย ใครมาเที่ยวโฮจิมินห์จะต้องไม่พลาดกับการมาถ่ายรูปกับโบสถ์แห่งนี้แน่นอน ปัจจุบันที่เราไปกำลังปิดปรับปรุงอยู่ แต่ก็ยังสามารถถ่ายรูปด้านหน้าได้ ส่วนในยามค่ำคืนใกล้ๆกับโบสถ์จะมีร้านขายอาหารเปิดให้นักท่องเที่ยวได้มานั่งหาอะไรอร่อยๆกินกัน
จุดที่ 3
โรงละครโอเปร่าเฮ้าส์ (Opera House)
ตั้งอยู่บนถนนเลเลย สร้างในปี พ.ศ. 2402 เพื่อใช้แสดงอุปรากร แต่ได้ถูกใช้ให้เป็นสำนักงานใหญ่ของสภาแห่งชาติเวียดนามใต้ ทุกวันนี้ก็ใช้งานเหมือนเดิม ทุกๆ สัปดาห์จะมีการแสดงแตกต่างกันออกไป ช่วงเวลากลางคืนชาวเวียตนามยังมีความเคลื่อนไหวอย่างร่าเริงด้วย โดยเฉพาะบริเวณลานน้ำพุ ที่จะมีชาวเวียตนามและชาวต่างชาติมานั่งพักผ่อนกันทุกคืน และสุดลานน้ำพุมองออกไปจะเป็นที่ตั้งของโรงละคร ที่ชาวเวียตนามออกเสียงว่าโรงละครยาฮดแถงห์โฝ (Nha hat Thanh Pho) ซึ่งหันหน้าออกถนนดงเค่ย ระหว่างโรงแรมคาราเวลล์และโรงแรมคอนติเนนตัล
จุดที่ 4
ศาลากลาง (City Hall)
Ho Chi Minh City Hall หรือ Saigon City Hall เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญของเมืองโฮจิมินห์ เวีย ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสโฮจิมินห์ บนถนน Le Thanh Ton อยู่ไม่ไกลกันกับ โรงละครโอเปร่าเฮ้าส์ (Opera House) เดินไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้ว มีลักษณะเป็นอาคารสไตล์โคโรเนียล ปัจจุบันไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมด้านใน เพราะเป็นที่ทำการของรัฐบาลท้องถิ่น แต่นักท่องเที่ยวก็สามารถที่จะเดินชมและถ่ายรูปด้านหน้าได้
จุดที่ 5
Independence Palace อาคารประวัติศาสตร์ยุคสงครามเวียดนาม มีบริการพาชมห้องทำเนียบ ห้องวางแผนการรบ และสิ่งของเกี่ยวกับสงคราม ที่นี่จะมีค่าเข้านะ คนละ 4 หมื่นดอง หรือประมาณ 60 บาท
และจุดสุดท้าย
ตลาดเบนถั่น (Ben Thanh Market) ตลาดเบนถั่นได้รับความนิยมอย่างมากทั้งจากคนพื้นเมืองและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะมีสินค้าหลากหลายทั้งเสื้อผ้า กระเป๋าเดินทาง เป้ นาฬิกา ของที่ระลึก อาหาร เครื่องเทศ ไปจนถึงอาหารสด และดอกไม้ ราคาไม่แพง ใครที่จะซื้อของฝากก็แนะนำที่นี่เลย แต่ก่อนซื้อให้ต่อราคาลงให้ได้มากที่สุดละกัน
หลังจากที่เราเดินเก็บแลนด์มาร์คได้พอสมควร ก็ได้เวลาที่เราจะต้องเดินทางไปสนามบินเพื่อเช็คอิน ก่อนบินกลับกรุงเทพกันแล้ว ก็เหมือนเดิมกับตอนขามา เราก็นั่งรถเมล์กลับไปที่สนามบิน ค่ารถเมล์คนละ 2 หมื่นด่ง
เราใช้เวลานั่งรถเมล์มาสนามบินประมาณ 30 นาที
ขากลับเราก็กลับด้วยสายการบิน Vietjet Air เหมือนเดิม
ทริปนี้เป็นครั้งแรกในการเที่ยวต่างประเทศของเรา ซึ่งเป็นทริปที่เปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวให้เราได้มากเลยทีเดียว เวียดนามเป็นประเทศที่น่าไปสัมผัสมากๆ สามารถเป็นทริปสั้นๆ 3 วัน 2 คืน ได้แบบสบายๆ วัฒนธรรมก็ไม่ได้แตกต่างกับบ้านเรามาก รวมไปถึงค่าใช้จ่ายก็ไม่แพง พอๆกับการเที่ยวในบ้านเราเลย เราไป 2 คน แลกเงินไปคนละ 3,000 บาท พอดีเป๊ะๆ กับการท่องเที่ยวทริปนี้ (ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินและค่าที่พัก) การนำเสนอผ่านการรีวิวของเราอาจเป็นแค่ส่วนนึงของเสน่ห์เมืองโฮจิมินห์เท่านั้น ยังไงซะ เราก็ยังอยากให้เพื่อนๆได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองอยู่ดี สำหรับใครที่กำลังจะไปวางแผนกันให้ดีๆ เรารับรองว่าคุณจะหลงรักที่นี่อย่างแน่นอน
สำหรับทริปต่อไป เราจะไปที่ไหน เพื่อนๆสามารถติดตามเราได้ที่ Website : Viewseekerthai